วันศุกร์ที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2560

ศาลหลักเมืองกัทรลักษ์

ศาลหลักเมืองกันทรลักษ์

ศาลหลักเมืองกันทรลักษ์ ตั้งอยู่ที่บ้านบก หมู่ที่ ๑ ตำบลหนองหญ้าลาด อำเภอกันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ การเดินทาง
เริ่มจากตัวจังหวัดศรีสะเกษถึงอำเภอกันทรลักษ์ ระยะทางประมาณ ๖๕ กิโลเมตร บริเวณสี่แยกทางไป
เขาพระวิหาร จะมองเห็นศาลหลักเมืองกันทรลักษ์

ศาลหลักเมืองกันทรลักษ์ได้ประกอบพิธีวางศิลาฤกษ์ เมื่อวันที่ ๑๙ มีนาคม ๒๕๔๒ และก่อสร้าง
แล้วเสร็จ โดยประกอบพิธีอัญเชิญหลักเมืองมาประดิษฐาน เมื่อวันที่ ๒๙ มกราคม ๒๕๔๘ ศาลหลักเมืองนี้
มีชื่อว่า "เจ้าพ่อศรีศักดิ์หลักเมือง" เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ และสักการะของประชาชน มีความสวยงาม เด่นเป็นสง่า
คู่บ้านคู่เมืองอำเภอกันทรลักษ์ สามารถเที่ยวชมและกราบไหว้สักการะได้ตลอดปี และยัง
เป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจและสถานที่ออกกำลังกายด้วย
...ขอบคุณรายละเอียดข้อความจากกันทรลักษ์ดอทคอม....

...เก็บภาพมาแค่นี้แหละครับ...
...ไว้วันหลังมีเวลาจะเก็บรายละเอียดมาชมกันเพิ่มเติมอีกครับ...
Image result for ศาลหลักเมือง กันทรลักษ์

http://www.guideubon.com/web/viewtopic.php?t=22101

ไฟล์แนป:
NTT_KL-001.jpg

หมูกะทะน้องเจน กันทรลักษ์

น้องเจนหมูกะทะ 

ร้านนี้นะคับเป็นร้านที่ทุกคนรู้จักกันดี มีชื่อว่าร้านน้องเจน หมูกะทะ
เป็นร้านอารที่ที่อยู่ทางออกไปเขาพระวิหาร เป็นที่โด่งดังทีสุดก็ว่าได้ ในกัทรลักษ์
หมูกะทะมีรสชาติแสนอร่อย สะอาด ราคาพอดี บรรยากาศ ก็ดี อาหารก็สดใหม่ บริการเป็นที่หนึ่ง
 มีอาหารทะเล เยอะแยะมากมาย
Image result for หมูกะทะ น้องเจน กันทรลักษ์

ส้มตำครกยัก

ส้มตำครกยัก

ส้มตำครกยักนะคับเป็นส้มตำที่อยู่หน้าศาลอัลยาการ ที่มีรสชาติแสนอร่อย
หากใครนะคับยังไม่ไปชิม ลองไปซื้อมากินดูรับรองอร่อยแน่คับ ทางร้านมีไอเดียที่แปลกใหม่
บรรยากาศเป็นที่ชื่นชม ราคาเป็นกันเอง ลองแวะไปชิมกันนะคับ
Image result for ส้มตำครกยักกันทรลักษ์
ทางร้านยังมีโปรโมชั่นอีกอ้วย หากซื้อเดิน300 ฟรีส้มตำอีกหึ่งครก
จานที่ใส่ส้มตำก็ยังเป็นครกเล็กๆ เส้นทางห่างจาก สี่แยกการชั่งแค่400เมตรได้คับ

เลี้ยงกบลุงวิฟาร์ม



ฟาร์มกบลุงวิ
หากใครนะคับที่คิดจะเลี้ยงกบ ลองปรึกษาลุงวิได้นะคับเพราะลุงมีความรู้มากเกี่ยวกับกาเลี้ยงกบ และมีรายได้มากอีกด้วยคับ แถมเลี้ยงง่ายอีกต่างหาก
การเพาะเลี้ยงกบในประเทศไทยตอนนี้กำลังได้รับความนิยม มีแนวทางที่จะพัฒนาต่อไปอีกเรื่อยๆ เพราะมีวงรอบการผลิตสั้น ระยะเวลาการเลี้ยงไม่นาน ใช้พื้นที่น้อย ลงทุนต่ำ และที่สำคัญตลาดมีความต้องการไปไกลถึงต่างประเทศ อีกทั้งยังมีหน่วยงานราชการเข้ามาเป็นกำลังสำคัญคอยขับเคลื่อนผลักดันให้เกษตรกรไปสู่ความสำเร็จ การเพาะเลี้ยงกบทุกวันนี้มีด้วยกันหลายรูปแบบตามแต่ความถนัดของแต่ละคน ไล่ตั้งแต่เพาะพันธุ์เอง จำหน่ายลูกอ๊อด ลูกกบ กบเนื้อ จนไปถึงพ่อแม่พันธุ์ โดยส่วนใหญ่เกษตรกรจะนิยมซื้อลูกพันธุ์จากฟาร์มที่มีมาตรฐาน เชื่อถือได้ มาทำการเลี้ยงเองจนกระทั่งจับขาย เพราะสะดวกในการจัดการดูแล ไม่ยุ่งยาก รวมถึงใช้ระยะเวลาเพียง 2 เดือนเศษ ก็สามารถสร้างรายได้เป็นที่น่าพอใจ แต่กว่าจะได้มาซึ่งรายได้ต้องอาศัยปัจจัยหลายๆ อย่างร่วมกัน และหนึ่งในปัจจัยหลักที่ควรให้ความสำคัญเป็นอันดับแรกก็คือ ลูกพันธุ์ เพราะการมาของลูกพันธุ์ที่มีคุณภาพถือเป็นความได้เปรียบ มีส่วนสำคัญต่อคุณภาพของผลผลิต ดังนั้นทีมงานนิตยสารสัตว์น้ำต้องลงพื้นที่เพื่อหาข้อมูลดีๆ มารับใช้สังคมคนเลี้ยงกบ โดยออกเดินทางมายังอีสานใต้ จังหวัดศรีสะเกษ จังหวัดที่ถือว่าเป็นจุดศูนย์รวมแหล่งลูกพันธุ์กบคุณภาพ เต็มไปด้วยฟาร์มเพาะพันธุ์มาตรฐานมากมาย มีการเพาะเลี้ยงกบกันอย่างแพร่หลายของคนในพื้นที่ และด้วยคุณภาพของลูกพันธุ์บวกกับการบริการที่ประทับใจ เกิดเป็นชื่อเสียงล่ำลือกันของเกษตรกรในพื้นที่ คุณชานนท์ พลเสนา และคุณพ่อหรือลุงวิ เจ้าของฟาร์ม
https://www.palangkaset.com/%E0%B8%AA%E0%B8%B1%E0%B8%95%E0%B8%A7%E0%B9%8C%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B3/%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B8%B5%E0%B9%89%E0%B8%A2%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%9A-%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%98%E0%B8%B5%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B8%B5%E0%B9%89%E0%B8%A2%E0%B8%87%E0%B8%81/

เลี้ยงกุ้งฝอยบ้านอะลาง

 กุ้ง ฝอย เป็นกุ้งน้ำจืดขนาดเล็ก พบได้ทั่วไปในภูมิภาคของประเทศไทย เป็นที่นิยมบริโภคกันทั่วไป เช่น กุ้งเต้น ทอดมันกุ้ง กุ้งฝอยทอด กุ้งฝอยมีคุณค่าทางโภชนาการสูง ทั้ง โปรตีนและแคลเซียม ปัจจุบันนี้กุ้งฝอยเริ่มลดน้อยลง เนื่องจากการเสื่อมโทรมของแหล่งน้ำธรรมชาติ บางครั้งใช้กุ้งฝอยเป็นอาหารเลี้ยงอนุบาลลูกปลาเศรษฐกิจ เช่น ปลาบู่ ปลาช่อน ปลากราย และปลาสวยงาม ทำให้เกิดความไม่เพียงพอต่อความต้องการที่มีแนวโน้มสูงมากขึ้น ขณะนี้ราคากุ้งฝอยในท้องตลาดตั้งแต่กิโลกรัมละ 300-400 บาท มีเกษตรกรบางรายนำมาเพาะเลี้ยงกุ้งฝอย ผลปรากฏว่า อัตราการรอดต่ำ เลี้ยงอย่างหนาแน่นไม่ได้ และอาจจะไม่คุ้มค่ากับการลงทุน



ดร.บัญชา ทองมี อาจารย์ประจำคณะประมงและทรัพยากรทางน้ำ มหาวิทยาลัยแม่โจ้ เล่าว่า ด้วยเหตุผลที่กุ้งฝอยเริ่มมีปริมาณลดน้อยลง มีราคาแพง และยังเป็นทางเลือกหนึ่งที่เกษตรกรสามารถประกอบอาชีพได้ มหาวิทยาลัยแม่โจ้จึงได้ทำการศึกษาวิจัยการเลี้ยงกุ้งฝอยในเชิงการค้า โดยได้รับการสนับสนุนทุนวิจัยจากสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่ง ชาติ (สวทช.) จนประสบผลสำเร็จ สามารถเผยแพร่แก่เกษตรกรนำไปเพาะเลี้ยงเป็นอาชีพได้
ข้อมูลทั่วไป

กุ้ง ฝอย เป็นกุ้งน้ำจืด ชอบซ่อนตัวอยู่ตามใต้ก้อนหินหรือเกาะตามพรรณไม้ ชอบอาศัยอยู่ในน้ำนิ่งหรือไหลเอื่อยๆ น้ำขุ่น ลึกไม่เกิน 1 เมตร มีอินทรียวัตถุทับถมกัน กุ้งฝอยเพศเมียจะเริ่มมีไข่และผสมพันธุ์ได้เมื่ออายุ 60 วันขึ้นไป จะสร้างไข่เก็บไว้ในถุงเก็บไข่ กุ้งเพศผู้จะพยายามติดตามกุ้งเพศเมียตลอดเวลา หลังจากกุ้งเพศเมียลอกคราบภายใน 3-6 ชั่วโมง ขณะที่เปลือกของกุ้งเพศเมียยังอ่อนอยู่จะมีการผสมพันธุ์กัน โดยกุ้งเพศผู้จะปล่อยน้ำเชื้อที่อยู่ในถุงเก็บน้ำเชื้อที่อยู่บริเวณโคนขา ช่วงที่ 5 ปล่อยน้ำเชื้อในถุงเก็บน้ำเชื้อเพศเมียเพื่อผสมกับไข่ ไข่ที่ผสมแล้วจะเคลื่อนไปอยู่ในส่วนล่างของท้องบริเวณขาว่ายน้ำ กุ้งเพศเมียจะพัดโบกขาว่ายน้ำตลอดเวลา เพื่อให้ไข่ได้รับออกซิเจน แม่กุ้งฝอยขนาดยาวประมาณ 2-2.5 เซนติเมตร จะมีไข่ประมาณ 200-250 ฟอง หลังจากผสมพันธุ์แล้ว 3 วัน ไข่จะเปลี่ยนเป็นสีเขียวอ่อนและสีเหลือง ต่อมาอีก 7-9 วัน จะมองเห็นตาของตัวอ่อนอย่างชัดเจน หลังจากนั้นไข่ในท้องแม่กุ้งฝอย จะเปลี่ยนเป็นสีเหลืองและฟักออกมาเป็นตัวเมื่ออายุ 21-25 วัน


วิธีการเพาะกุ้งฝอย
วิธี การเพาะเลี้ยงกุ้งฝอย สามารถเพาะเลี้ยงได้ 2 วิธี คือ การนำพ่อแม่พันธุ์กุ้ง ประมาณ 50 ตัว ปล่อยลงในบ่อเลี้ยงที่มีกระชังภายในบ่อ เพื่อให้พ่อแม่พันธุ์กุ้งฝอยผสมพันธุ์กันเอง วิธีนี้ใช้เวลา 2-3 เดือน แต่จะมีอัตราการรอดชีวิตประมาณ 20-30% เนื่องจากกุ้งมีขนาดที่ต่างกัน กุ้งจะกินกันเอง เพราะมีทั้งกุ้งฝอยขนาดใหญ่และขนาดเล็กปะปนกัน อีกวิธีหนึ่งคือ การคัดแม่พันธุ์ที่มีไข่แล้วมาขยายพันธุ์ มีอัตราการรอดชีวิต 80% มหาวิทยาลัยแม่โจ้จึงขอแนะนำเกษตรกรใช้วิธีนี้ เนื่องจากจะได้กุ้งฝอยที่มีขนาดเดียวกัน การปฏิบัติดูแลรักษาง่าย สามารถเลี้ยงได้ทั้งในบ่อดินและบ่อซีเมนต์ การลงทุนต่ำ สามารถเพาะเลี้ยงได้ตลอดทั้งปี
กุ้งฝอยบ้านอะลาง
การเพาะเลี้ยง
เริ่ม ต้นจากการรวบรวมกุ้งเพศเมียจากแหล่งน้ำธรรมชาติ จำนวนประมาณ 80-100 ตัว นำมาพักไว้ในกระชังอย่างน้อย 1 คืน คัดเลือกเฉพาะกุ้งเพศเมียที่มีไข่แก่ มองเห็นตาของลูกกุ้งในท้อง เพาะฟักในตะแกรงที่แขวนไว้ในกระชังผ้า ขนาด 1x1x1 เมตร ในบ่อซีเมนต์หรือบ่อดิน ให้อาหารสำเร็จรูปที่มีโปรตีน 33% ให้อาหารประมาณ 5% ของน้ำหนักตัว แบ่งให้ 2 ครั้ง เช้าและเย็น ประมาณ 3-4 วัน ไข่จะฟักออกมาเป็นตัว แยกแม่กุ้งออกจากกระชัง แล้วคัดลูกกุ้งที่มีขนาดเดียวกัน เพื่อสะดวกในการจัดการเพาะเลี้ยง นำลูกกุ้งที่ได้ไปอนุบาลในกระชังผ้าโอล่อนแก้ว ปริมาณ 50,000 ตัว ในบ่อขนาด 1x1x1 เมตร สัปดาห์แรก ให้ไข่แดงต้มสุกเป็นอาหาร สัปดาห์ที่ 2-4 ใช้ไรน้ำจืดขนาดเล็กเป็นอาหาร จากนั้นจึงให้อาหารสำเร็จรูปชนิดผง เป็นอาหารที่มีโปรตีน 40% ให้อาหารในปริมาณ 10% ของน้ำหนักตัว ระยะนี้ต้องระมัดระวังตาข่ายไม่ให้อุดตัน ควรใช้แปรงขนาดเล็กขนอ่อนทำความสะอาดบ่อยครั้ง ใช้เวลาอนุบาลเป็นเวลา 1 เดือน จึงนำไปเลี้ยงในกระชังในบ่อดินหรือบ่อซีเมนต์ได้

การเตรียมบ่อ
ทำ ความสะอาดบ่อด้วยปูนขาว ตากทิ้งไว้ 2-3 สัปดาห์ กั้นคอกล้อมบ่อด้วยอวนพลาสติคสีฟ้าเพื่อป้องกันศัตรู เติมน้ำในบ่อโดยผ่านการกรองด้วยผ้าตาถี่ เพื่อป้องกันไข่ปลาและลูกปลาขนาดเล็กๆ เล็ดลอดลงในบ่อกุ้ง เติมน้ำสูงประมาณ 40-50 เซนติเมตร ใส่ปุ๋ยขี้ไก่ อัตรา 60-120 กิโลกรัม ต่อไร่ ทิ้งไว้ 3-4 วัน รอจนน้ำเริ่มสีเขียว จึงเติมน้ำจนได้ระดับ 1 เมตร จากนั้นจึงนำลูกกุ้งที่อนุบาลมาแล้วประมาณ 1 เดือน ปล่อยลงในบ่อ อัตรา 30,000-50,000 ตัว เลี้ยงประมาณ 2 เดือน ก็สามารถจับขายได้ มีอัตรารอด 80% ที่สำคัญการเลี้ยงในบ่อซีเมนต์ ควรช่วยการหายใจด้วยระบบการเติมออกซิเจนด้วย

สนใจติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ คณะประมงฯ โทร. (053) 498-178, (053) 873-402 ต่อ 161, (086) 654-2372 

เลี้ยงกุ้งฝอยบ้านอะลาง

 กุ้ง ฝอย เป็นกุ้งน้ำจืดขนาดเล็ก พบได้ทั่วไปในภูมิภาคของประเทศไทย เป็นที่นิยมบริโภคกันทั่วไป เช่น กุ้งเต้น ทอดมันกุ้ง กุ้งฝอยทอด กุ้งฝอยมีคุณค่าทางโภชนาการสูง ทั้ง โปรตีนและแคลเซียม ปัจจุบันนี้กุ้งฝอยเริ่มลดน้อยลง เนื่องจากการเสื่อมโทรมของแหล่งน้ำธรรมชาติ บางครั้งใช้กุ้งฝอยเป็นอาหารเลี้ยงอนุบาลลูกปลาเศรษฐกิจ เช่น ปลาบู่ ปลาช่อน ปลากราย และปลาสวยงาม ทำให้เกิดความไม่เพียงพอต่อความต้องการที่มีแนวโน้มสูงมากขึ้น ขณะนี้ราคากุ้งฝอยในท้องตลาดตั้งแต่กิโลกรัมละ 300-400 บาท มีเกษตรกรบางรายนำมาเพาะเลี้ยงกุ้งฝอย ผลปรากฏว่า อัตราการรอดต่ำ เลี้ยงอย่างหนาแน่นไม่ได้ และอาจจะไม่คุ้มค่ากับการลงทุน



ดร.บัญชา ทองมี อาจารย์ประจำคณะประมงและทรัพยากรทางน้ำ มหาวิทยาลัยแม่โจ้ เล่าว่า ด้วยเหตุผลที่กุ้งฝอยเริ่มมีปริมาณลดน้อยลง มีราคาแพง และยังเป็นทางเลือกหนึ่งที่เกษตรกรสามารถประกอบอาชีพได้ มหาวิทยาลัยแม่โจ้จึงได้ทำการศึกษาวิจัยการเลี้ยงกุ้งฝอยในเชิงการค้า โดยได้รับการสนับสนุนทุนวิจัยจากสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่ง ชาติ (สวทช.) จนประสบผลสำเร็จ สามารถเผยแพร่แก่เกษตรกรนำไปเพาะเลี้ยงเป็นอาชีพได้
ข้อมูลทั่วไป

กุ้ง ฝอย เป็นกุ้งน้ำจืด ชอบซ่อนตัวอยู่ตามใต้ก้อนหินหรือเกาะตามพรรณไม้ ชอบอาศัยอยู่ในน้ำนิ่งหรือไหลเอื่อยๆ น้ำขุ่น ลึกไม่เกิน 1 เมตร มีอินทรียวัตถุทับถมกัน กุ้งฝอยเพศเมียจะเริ่มมีไข่และผสมพันธุ์ได้เมื่ออายุ 60 วันขึ้นไป จะสร้างไข่เก็บไว้ในถุงเก็บไข่ กุ้งเพศผู้จะพยายามติดตามกุ้งเพศเมียตลอดเวลา หลังจากกุ้งเพศเมียลอกคราบภายใน 3-6 ชั่วโมง ขณะที่เปลือกของกุ้งเพศเมียยังอ่อนอยู่จะมีการผสมพันธุ์กัน โดยกุ้งเพศผู้จะปล่อยน้ำเชื้อที่อยู่ในถุงเก็บน้ำเชื้อที่อยู่บริเวณโคนขา ช่วงที่ 5 ปล่อยน้ำเชื้อในถุงเก็บน้ำเชื้อเพศเมียเพื่อผสมกับไข่ ไข่ที่ผสมแล้วจะเคลื่อนไปอยู่ในส่วนล่างของท้องบริเวณขาว่ายน้ำ กุ้งเพศเมียจะพัดโบกขาว่ายน้ำตลอดเวลา เพื่อให้ไข่ได้รับออกซิเจน แม่กุ้งฝอยขนาดยาวประมาณ 2-2.5 เซนติเมตร จะมีไข่ประมาณ 200-250 ฟอง หลังจากผสมพันธุ์แล้ว 3 วัน ไข่จะเปลี่ยนเป็นสีเขียวอ่อนและสีเหลือง ต่อมาอีก 7-9 วัน จะมองเห็นตาของตัวอ่อนอย่างชัดเจน หลังจากนั้นไข่ในท้องแม่กุ้งฝอย จะเปลี่ยนเป็นสีเหลืองและฟักออกมาเป็นตัวเมื่ออายุ 21-25 วัน


วิธีการเพาะกุ้งฝอย
วิธี การเพาะเลี้ยงกุ้งฝอย สามารถเพาะเลี้ยงได้ 2 วิธี คือ การนำพ่อแม่พันธุ์กุ้ง ประมาณ 50 ตัว ปล่อยลงในบ่อเลี้ยงที่มีกระชังภายในบ่อ เพื่อให้พ่อแม่พันธุ์กุ้งฝอยผสมพันธุ์กันเอง วิธีนี้ใช้เวลา 2-3 เดือน แต่จะมีอัตราการรอดชีวิตประมาณ 20-30% เนื่องจากกุ้งมีขนาดที่ต่างกัน กุ้งจะกินกันเอง เพราะมีทั้งกุ้งฝอยขนาดใหญ่และขนาดเล็กปะปนกัน อีกวิธีหนึ่งคือ การคัดแม่พันธุ์ที่มีไข่แล้วมาขยายพันธุ์ มีอัตราการรอดชีวิต 80% มหาวิทยาลัยแม่โจ้จึงขอแนะนำเกษตรกรใช้วิธีนี้ เนื่องจากจะได้กุ้งฝอยที่มีขนาดเดียวกัน การปฏิบัติดูแลรักษาง่าย สามารถเลี้ยงได้ทั้งในบ่อดินและบ่อซีเมนต์ การลงทุนต่ำ สามารถเพาะเลี้ยงได้ตลอดทั้งปี
กุ้งฝอยบ้านอะลาง
การเพาะเลี้ยง
เริ่ม ต้นจากการรวบรวมกุ้งเพศเมียจากแหล่งน้ำธรรมชาติ จำนวนประมาณ 80-100 ตัว นำมาพักไว้ในกระชังอย่างน้อย 1 คืน คัดเลือกเฉพาะกุ้งเพศเมียที่มีไข่แก่ มองเห็นตาของลูกกุ้งในท้อง เพาะฟักในตะแกรงที่แขวนไว้ในกระชังผ้า ขนาด 1x1x1 เมตร ในบ่อซีเมนต์หรือบ่อดิน ให้อาหารสำเร็จรูปที่มีโปรตีน 33% ให้อาหารประมาณ 5% ของน้ำหนักตัว แบ่งให้ 2 ครั้ง เช้าและเย็น ประมาณ 3-4 วัน ไข่จะฟักออกมาเป็นตัว แยกแม่กุ้งออกจากกระชัง แล้วคัดลูกกุ้งที่มีขนาดเดียวกัน เพื่อสะดวกในการจัดการเพาะเลี้ยง นำลูกกุ้งที่ได้ไปอนุบาลในกระชังผ้าโอล่อนแก้ว ปริมาณ 50,000 ตัว ในบ่อขนาด 1x1x1 เมตร สัปดาห์แรก ให้ไข่แดงต้มสุกเป็นอาหาร สัปดาห์ที่ 2-4 ใช้ไรน้ำจืดขนาดเล็กเป็นอาหาร จากนั้นจึงให้อาหารสำเร็จรูปชนิดผง เป็นอาหารที่มีโปรตีน 40% ให้อาหารในปริมาณ 10% ของน้ำหนักตัว ระยะนี้ต้องระมัดระวังตาข่ายไม่ให้อุดตัน ควรใช้แปรงขนาดเล็กขนอ่อนทำความสะอาดบ่อยครั้ง ใช้เวลาอนุบาลเป็นเวลา 1 เดือน จึงนำไปเลี้ยงในกระชังในบ่อดินหรือบ่อซีเมนต์ได้

การเตรียมบ่อ
ทำ ความสะอาดบ่อด้วยปูนขาว ตากทิ้งไว้ 2-3 สัปดาห์ กั้นคอกล้อมบ่อด้วยอวนพลาสติคสีฟ้าเพื่อป้องกันศัตรู เติมน้ำในบ่อโดยผ่านการกรองด้วยผ้าตาถี่ เพื่อป้องกันไข่ปลาและลูกปลาขนาดเล็กๆ เล็ดลอดลงในบ่อกุ้ง เติมน้ำสูงประมาณ 40-50 เซนติเมตร ใส่ปุ๋ยขี้ไก่ อัตรา 60-120 กิโลกรัม ต่อไร่ ทิ้งไว้ 3-4 วัน รอจนน้ำเริ่มสีเขียว จึงเติมน้ำจนได้ระดับ 1 เมตร จากนั้นจึงนำลูกกุ้งที่อนุบาลมาแล้วประมาณ 1 เดือน ปล่อยลงในบ่อ อัตรา 30,000-50,000 ตัว เลี้ยงประมาณ 2 เดือน ก็สามารถจับขายได้ มีอัตรารอด 80% ที่สำคัญการเลี้ยงในบ่อซีเมนต์ ควรช่วยการหายใจด้วยระบบการเติมออกซิเจนด้วย

สนใจติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ คณะประมงฯ โทร. (053) 498-178, (053) 873-402 ต่อ 161, (086) 654-
2372 
http://alangcity.blogspot.com/2012/08/blog-post_7873.html

เห็ดฟางบ้านโนนเปื่อย


การเพาะเห็ดฟางในโรงเรือนจากกากเปลือกมันสำปะหลัง    
          การเพาะเห็ดฟางจากกเปลือกมันสำปะหลังจะทำให้ได้เห็ดฟางดอกใหญ่  ทำได้ตลอดปี                ดิฉันมีโอกาสนำผู้สื่อข่าวไปถ่ายทำสารคดีเกษตรกรการเพาะเห็ดฟางในโรงเรือน ของคุณลุงวิเศษ  พิรมย์ไทย  ที่บ้านเลขที่ 58/2 หมู่ 9 บ้านทุ่งเศรษฐี  ตำบลนครชุม  อำเภอเมือง  จ.กำแพงเพชร                    ปกติ การเพาะเห็ดฟางส่วนใหญ่จะเพาะกลางแจ้งและวัสดุที่ใช้กันเป็นหลักจะใช้ฟาง ข้าวแต่ในปัจจุบันมีการนำวัสดุการเกษตรที่เหลือใช้เช่นกากเปลือกมันสำปะหลัง มาใช้ซึ่งได้ผลดีเพราะเห็ดฟางที่เพาะได้ดอกโตและเก็บได้นาน และเห็ดฟางในโรงเรือนสามารถเพาะได้ตลอดปี  คุณลุงวิเศษ เล่าให้ฟังว่าตัวเองเป็นคนจังหวัดชัยภูมิแต่เดิมเพาะเห็ดฟางอยู่ที่จังหวัดชัยภูมิแต่ราคาเห็ดฟางที่นั่นต่ำราคา 30-40  บาท/กก.จึงย้ายมาเพาะที่จังหวัดอุทัย แต่ตลาดยังไม่กว้างมากนักจึงย้ายตามตลาดมาจังหวัดกำแพงเพชรเป็นแหล่งที่มี ความต้องการเห็ดฟางมากเห็ดฟางที่เพาะได้ภายในจังหวัดกำแพงเพชรยังไม่เพียงพอ ต้องสั่งซื้อจากจังหวัดชัยภูมิ เชียงใหม่   คุณลุงจึงเลือกมาเพาะเห็ดในจังหวัดกำแพงเพชร   ปัจจุบันมีโรงเรือนอยู่12โรงกำลังสร้างใหม่อีก 3 โรง  ในแต่ละวันเก็บได้ประมาณ 100-150 กิโลกรัม  จำหน่ายกิโลกรัม50-60  บาท
          
            

      วัสดุทีใช้เพาะ   ได้แก่  กากเปลือกมันสำปะหลังจากโรงงานแป้งมันเส้น    ฟางข้าว   ขี้วัว
แป้งข้าวเหนียว    โมลาส    จุลินทรีย์อีเอ็ม  ภูไมท์   ปุ๋ยสูตร 46-0-0   ,15-15-15   รำอ่อน   อัตราส่วนกากเปลือกมันสำปะหลัง  1 ตันต่อวัสดุชนิดอื่นๆชนิดละ1กิโลกรัม   หมักทิ้งไว้ 1 อาทิตย์
          <p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal">                 ทำความสะอาดโรงเรือนโดยการฉีดน้ำล้างโรงเรือนแล้วนำฟางวางไว้ตามชั้นให้มีความหนาประมาณ 10 ซม.และนำวัสดุที่หมักครบ7 วันไปวางไว้ความหนาประมาณ 10 ซม. แล้วรดน้ำ ใช้ผ้ายางปิดไว้ 1-2 วัน ห้ามเปิด  ใช้เตาอบไอน้ำท่อยัดไอน้ำเข้าไป 3 ซม.  ความร้อน 60 -70 องศาเซลเซียส  เป็นการเชื้อโรคตาย  3 วันวันที่ 4 ปล่อยให้อากาศถ่ายเทแล้วจึงหว่านเชื้อเห็ดฟางบนชั้น  หลังจากนั้น3 วันรดน้ำ เปิดช่องลมไว้อีก 3 วัน   จึงจะเริ่มเห็นเห็ดเป็นตุ่มๆหลังจากนั้น 7 วันสามารถเก็บเห็ดไปจำหน่ายได้สามารถเก็บเห็ดได้นาน 7-15 วันหลังจากเก็บครั้งแรก </p>
 100_8413                           
                                     1  โรงเรือนเก็บได้ประมาณ150-230 กก/โรง/วัสดุ 3 ตัน  รายได้เฉลี่ยเดือนละ40,000-50,000  บาท  ต้นทุนการผลิตอยู่ประมาณ   25,000  บาท   โรงเรือนสร้าง 1 ครั้งสามารถอยู่ได้นาน 3 ปีต้นทุนต่อโรงเรือน 15,000  บาท   การเพาะเห็ดฟางในโรงเรือนเป็นอีกทางเลือกหนึ่งของเกษตรกร  การเพาะเห็ดฟางในโรงเรือนสามาถทำได้ตลอดปีในฤดูร้อนต้องใช้พัดลมช่วย 
..... อ่านต่อได้ที่: https://www.gotoknow.org/posts/162712
                                  การเพาะเห็ดฟางในโรงเรือนจากกากเปลือกมันสำปะหลัง

            การเพาะเห็ดฟางจากกเปลือกมันสำปะหลังจะทำให้ได้เห็ดฟางดอกใหญ่  
ทำได้ตลอดปี  ชาวบ้านเกษตรสมบูรณ์ หมู่ที่ 9 ตำบลเขิน อำเภอน้ำเกลี้ยง จังหวัดศรีสะเกษ ได้พริกวิกฤตเป็นโอกาศในขณะที่ราคายางพาราตกต่ำ ได้เรียนรู้จากสื่อสังคมออนไลน์ มาปรับใช้โดยเฉพาะได้ผ่านเวทีสร้างความเข้าใจของการดำเนินงานหมู่บ้านสารสนเทศต้นแบบเพื่อการพัฒนาคุณภาพชีวิต ของอำเภอน้ำเกลี้ยง เมื่อเดือนตุลาคม 2558 ก็เริ่มมีการดำเนินการใต้ร่มไม้ยางพารากว่า 100 ไร่ สร้างรายได้เป็กอบเป็นกำให้ชาวบ้านอย่างน่าอัศจจรย์ ซึ่งปกติการเพาะเห็ดฟางส่วนใหญ่จะเพาะกลางแจ้งและวัสดุที่ใช้กันเป็นหลักจะใช้ฟางข้าวแต่ในปัจจุบันมีการนำวัสดุการเกษตรที่เหลือใช้เช่นกากเปลือกมันสำปะหลังมาใช้  และได้ผลดีเพราะเห็ดฟางที่เพาะได้ดอกโตและเก็บได้นาน และเห็ดฟางในโรงเรือนสามารถเพาะได้ตลอดปี นายสมบูรณ์ ทองเต็ม ผู้ใหญ่บ้านเกษตรสมบูรณ์ ร่วมกับชาวบ้านได้ชวนกันเพาะเห็ดฟางสร้างรายได้เข้าสู่ชุมชน ปัจจุบันมีโรงเรือนมากกว่า 10 โรง กำลังสร้างใหม่อีกมากกว่า 5 โรง  ในแต่ละวันเก็บได้ประมาณ 100-150 กิโลกรัม การจำหน่ายขายส่งกิโลกรัมละ 60 บาท และขายปรีกราคากิโลกรัมละ 70 บาท มีพ่อค้าแม่ค้าจากตลาดอำเภอกันทรารมย์ และอำเภอกันทรลักษ์ มารับถึงสวน
http://kasetsomboon.blogspot.com/p/blog-page_19.html
https://www.youtube.com/watch?v=4_6eK156f1o

จิ้งหลีดถาด

เจ้าของสวนยาง 50 ไร่ เลี้ยงจิ้งหรีดเป็นอาชีพเสริม สร้างรายได้กว่า 6,000 บาท/เดือน ที่ อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ

เรื่อง/ภาพ : แทนไท ออนทัวร์


ในเมื่อราคายางพารามีขึ้นลง เป็นไปตามกลไกตลาดที่ประเทศไทยไม่ได้เป็นผู้ควบคุมเอง ดังนั้นแล้วเกษตรกรควรต้องมีวิธีการรับมือเพื่อไม่ให้ตนเองตกอยู่ในภาวะวิกฤติเมื่อรายคายางตกต่ำ

ยางพาราเป็นพืชที่มีอายุการเก็บเกี่ยวที่ยาวนาน เช่นเดียวกันกับการที่จะสามารถมารถเก็บเกี่ยวผลผลิตได้นั้นต้องรอนาน 6-7 ปี หลังจากปลูก ซึ่งในระหว่างการปลูกเลี้ยง การจัดการ การดูแลรักษาไปจนกว่าจะสามารถเก็บผลผลิตได้จนต้องมีต้นทุน และค่าใช้จ่ายที่ค่อนข้างมากอยู่เช่นกันร่วมไปถึงปัญหาความผันผวนในเรื่องของราคา นี้เป็นประเด็นที่จะมาชี้วัดกันว่าชาวสวนยางจะมีช่องทางใดบ้างที่จะสร้างรายได้ในระหว่างนั้นมาหมุนเวียนและใช้จ่าย


สกย. เจ้าภาพโดยตรงในการสนับสนุนส่งเสริมเกษตรกรให้มีรายในระหว่างที่ยางพารายังไม่สามารถเปิดกรีดได้ ตลอดจนอาชีพเสริมช่วงราคายางไม่เอื้ออำนวย มีการแนะนำให้เกษตรกรได้ใช้ประโยชน์จากพื้นที่ว่างในสวนยางของตนเองให้เกิดประโยชน์สูงสุดด้วยการนำไปสร้างรายได้เพิ่ม อาทิ การปลูกพืชแซม พืชคลุม การเลี้ยงสัตว์ เช่น การเลี้ยง กบ ปลา ไก่ จิ้งหรีด เป็นต้น



คุณดวงมี สุทธิวรรค เจ้าของสวนยางพาราพันธุ์ RRIM 600 จำนวน 50 ไร่ ที่ผ่านมาเธอได้ประกอบอาชีพเสริมความคู่กับการทำสวนยางมาได้กว่า 5 ปี แล้ว เจ้าตัวยอมรับว่ายางพาราเป็นพืชที่เข้ามาเปลี่ยนแปลงอะไรหลายๆ อย่างทั้งรายได้ และรูปแบบในการประกอบอาชีพ เนื่องจากยางเป็นพืชยืนต้นที่มีอายุยืน และเมื่อเปิดกรีดได้แล้วก็ทำให้มีรายได้อย่างต่อเนื่อง เมื่อคำนวณรายได้ระหว่างทำพืชไร่กับสวนยายางแล้วทำให้เห็นอย่างชัดเจนว่ายางพาราสร้างรายได้ที่ดีกว่า แต่ในช่วงที่ผ่านมาราคายางมีความผันผวนอยู่ตลอด และเริ่มต่ำลง จึงได้มองว่าหากหาอาชีพเสริมเพิ่มขึ้นมาอีกอย่างก็น่าจะเป็นช่องทางเพิ่มรายได้มาหมุนเวียนใช้จ่ายในครอบครัว


http://tantai24.blogspot.com/2015/03/50-6000.html

ผ้าไหมฝีมือหมู่บ้าน


ทอผ้าไหมมัดหมี่(อ.เบญจลักษณ์)

หมวด : ผ้า เครื่องแต่งกาย

ผลิตภัณฑ์

ประวัติความเป็นมา

การทอผ้าไหมมัดหมี่ ของกลุ่มทอผ้าไหมมัดหมี่ บ้านโนนสะแบง หมู่ที่ ๒ ตำบลหนองหว้า อำเภอกันทรลักษ์จังหวัดศรีสะเกษ สืบทอดภูมิปัญญาท้องถิ่นจากรุ่นสู่รุ่นมาตั้งแต่สมัยปู่ย่าตายาย สู่ลูกหลาน การทอผ้าไหมสมัยก่อนเป็นการทอผ้าไหมไว้ใช้เอง โดยบ้านที่มีลูกสาว จะสอนให้ลูกเป็นแม่บ้านแม่เรือนและเตรียมไว้เป็นเครื่องสมมาแก่ญาติฝ่ายสามีเวลาแต่งงาน การทอผ้าไหมมัดหมี่สมัยก่อนจะไม่มีลวดลาย ขั้นตอนการผลิตจะเริ่มจากปลูกต้นหม่อน เลี้ยงไหมผลิตเส้นไหมเอง ไหมที่ได้เรียกว่าไหมบ้าน มีการย้อมไหมด้วยสีธรรมชาติจากต้นครั่ง ในปีพ.ศ. ๒๕๔๑ แม่บ้านได้รวมตัวกันจัดตั้งกลุ่มทอผ้าขึ้น มีสมาชิกจำนวน ๑๕ คน ดำเนินการทอผ้าฝ้ายมาจนถึงปี พ.ศ.๒๕๔๖ ประธานกลุ่มคือนางทองใบ ครองยุต ได้บุตรสะใภ้จากจังหวัดขอนแก่น ซึ่งมีการทอผ้าไหมมัดหมี่มีลวดลายสวยงามและนำมาประยุกต์ออกแบบลวดลายใหม่ขึ้น ทำให้สมาชิกมีความสนใจ จึงเริ่มเปลี่ยนการผลิตจากผ้าฝ้ายเป็นผ้าไหมมัดหมี่ และเปลี่ยนชื่อกลุ่มใหม่ ปัจจุบันมีสมาชิกกลุ่มจำนวน ๒๘ คนมีนางหนู วงค์จำปา เป็นประธาน มีการประยุกต์และพัฒนาผลิตภัณฑ์ด้วยการย้อมสีจากธรรมชาติ มีแผนพัฒนารูปแบบผลิตภัณฑ์ให้ทันสมัยและหลากหลาย
http://www.otoptoday.com/wisdom/8552/%E0%B8%97%E0%B8%AD%E0%B8%9C%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B9%84%E0%B8%AB%E0%B8%A1%E0%B8%A1%E0%B8%B1%E0%B8%94%E0%B8%AB%E0%B8%A1%E0%B8%B5%E0%B9%88(%E0%B8%AD.%E0%B9%80%E0%B8%9A%E0%B8%8D%E0%B8%88%E0%B8%A5%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%A9%E0%B8%93%E0%B9%8C)

สวนน้ำสบายดีรีสอร์ท

สวนน้ำสบายดีรีสอร์ท

แนะนำสถานที่่่เที่ยวบ้านเฮา "ศรีสะเกษ บ้านข่อย มีสวนน้ำแล้วเด้อจ้า" # อีก 3 วันจะเปิดเทอมแล้ว เด็กๆคนไหนยังไม่มาสัมผัส.... กับความสนุกสุดดด..มันส์รีบ......นะจ๊ะ
แถวบ้านเราก็มีสวนน้ำนะคับใกล้บ้านเราเอง ตั่งอยู่สบายดีรีสอท ใครผ่านไปมาก็จะเห็นพึ่งเปิดใหม่ น้ำใสสะอาด 
บัตรก็ไม่แพง เชิญมานะคับ รับรองไม่ผิดหวัง
Image result for สวนน้ำ สบายดีรีสอร์ท

ข้าวหลามใบอ้อยบ้านกะบี่

ข้าวหลามใบอ้อย

นางห้อเสี้ย มาดถิ้ง อายุ 56 ปีบ้านเลขที่ 175 ม.5 บ้านกะบี่ ต.กะแซง อ.กันรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ กล่าวว่า การทำข้าวหลามใบอ้อยขาย เป็นภูมิปัญญาท้องถิ่นของชาวบ้าน อำเภอกันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ หลังจากที่ตนเองกรีดยางพาราเสร็จ ก็ได้ใช้เวลาว่างเพื่อหารายได้เสริมและเป็นธุรกิจครอบครัวมาทำข้าวหลามใบอ้อยขาย เป็นสูตรพิเศษที่เป็นมรดกตกทอดมาหลายชั่วอายุคน ในการทำข้าวหลามใบอ้อย จะใช้ข้าวเหนียวดำ น้ำตาล เกลือ และน้ำกะทิสดจากมะพร้าวที่ปลูกเองในสวนส่วนกระบอกข้าวหลามจะใช้ไม้ไผ่ศรีสุข และใบอ้อย เป็นที่บรรจุ ซึ่งหาได้ในสวนยางพารา โดยไม่ต้องซื้อ การย่างใช้เวลาในการย่าง 2-3 ชั่วโมง โดยทำขายวันละ 100 กระบอก ซึ่งขายกระบอกละ 25 และ 30 บาท สร้างรายรายได้ประมาณวันละ2500 ถึง 3000 บาทต่อวัน
นางห้อเสี้ย มาดถิ้ง กล่าวเพิ่มเติมอีกว่า ตนเองทำข้าวหลามใบอ้อย ขายมาเป็นระยะเวลากว่า 10 ปีแล้ว มีจุดเด่นเมื่อเวลาแกะออกรับประทานง่ายไม่ยุ่งยาก มีรสชาติที่หอมน่ารับประทาน มากกว่าข้าวหลามทั่วไป เพราะจะมีกลิ่นหอมจากใบอ้อย จึงทำให้มีกระแสตอบรับจากลูกค้าที่ได้ลองชิม ถูกอกถูกใจกัน ขณะนี้ได้ส่งขายทั่วกันทรลักษ์ และในเดือนมิถุนายนนี้เป็นช่วงเดือนถือศีลอดหรือเดือน รอมฎอน จึงขายดีเป็นพิเศษ
หากใครนะคับที่ยากรับประทานข้าวหลามใบอ้อยของชาวบ้านกะบี่
กะแวะมาซื้อได้เลยคับ

ข้อมูลข่าวและที่มา

ผู้สื่อข่าว : อำนวย ใจเกลี้ยงผู้เรียบเรียง : อนงนาฎ สิทธิคงแหล่งที่มา : สำนักงานประชาสัมพันธ์กันทรลักษ์

ศาลหลักเมืองกัทรลักษ์

ศาลหลักเมืองกันทรลักษ์ ศาลหลักเมืองกันทรลักษ์ ตั้งอยู่ที่บ้านบก หมู่ที่ ๑ ตำบลหนองหญ้าลาด อำเภอกันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ การเดินทาง เริ...